อสังหารายเล็ก ปรับตัวลุยชิงเค้ก

อสังหารายเล็ก ปรับตัวลุยชิงเค้ก

ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในยุคดิจิทัล นอกจากผู้ประกอบการมีการปรับตัวรับมือดิสรัปชั่นแล้ว สำหรับดีเวลอปเปอร์รายเล็กก็มีการปรับกลยุทธ์เพื่อเจาะตลาดท่ามกลางความท้าทายและการแข่งขันของรายใหญ่ โดยเริ่มเห็นการจับมือกับพันธมิตรต่างธุรกิจในการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยมากขึ้น

วรุตม์ ภาณุพัฒนพงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ทีค ดีเวลลอปเม้นท์ เปิดเผยว่า ทีคเป็นบริษัทในเครือ บิวเดอสมาร์ท ได้วางโมเดลพัฒนาโครงการรูปแบบคอนโดมิเนียมโลว์ไรส์รัศมีไม่เกิน 1 กิโลเมตรรอบสถานีรถไฟฟ้าสายหลัก อาทิ โซนสาทร สุขุมวิท อารีย์ และรัชดา ขนาด 200 ตารางวา (ตร.ว.) ในราคาที่จับต้องได้ นอกเหนือจากทำเลและดีไซน์เพื่อเจาะตลาดกลุ่มคนรุ่นใหม่

ทั้งนี้ ด้วยราคาที่ดินแนวรถไฟฟ้า แพงและหายาก บริษัทเป็นผู้ประกอบการรายเล็กจึงมองเห็นช่องว่างในการทำตลาดสำหรับคนไทยที่ต้องการอยู่อาศัยจริงทำเลในเมือง ล่าสุดเปิดตัวโครงการเดอะ ทีค สาทร-ลุมพินี บนเนื้อที่ 264 ตร.ว. มูลค่าโครงการ 360 ล้านบาท โดยเป็นคอนโด 8 ชั้น 1 อาคาร 74 ยูนิต ตั้งอยู่ในซอยศรีบำเพ็ญ ใกล้เอ็มอาร์ทีสถานีลุมพินีและคลองเตย

ขณะที่ปัจจุบันมียอดจองจากลูกค้าเดิมแล้ว 50% เตรียมเปิดพรีเซล 15-16 ก.ย.นี้ ราคาขายเริ่ม 3.5 ล้านบาท หรือเฉลี่ยที่ 1.3 แสนบาท/ตร.ม. คาดปิดการขายได้ทั้งหมด โดยโครงการเริ่มก่อสร้างไตรมาส 4 ปี 2561 แล้วเสร็จพร้อมโอนกรรมสิทธิ์ปลายปี 2562

ในส่วนไตรมาส 4 ปีนี้ เตรียมเปิดโครงการเดอะ ทีค รัชดา ปากซอยรัชดา 19 ติดสถานีเอ็มอาร์ทีรัชดาฯ พื้นที่โครงการราว 270 ตร.ว. อาคารสูง 7 ชั้น 79 ยูนิต ราคาขายเริ่มต้น 3.5 ล้านบาท ซึ่งเป็น ไปตามแผนที่ตั้งเป้าเปิดไตรมาสละ 1 โครงการ มูลค่าโครงการละ 400 ล้านบาท

สำหรับปี 2562 มีแผน 4 โครงการใหม่ มูลค่ารวมราว 1,600 ล้านบาท เป็นคอนโดโลว์ไรส์ ขณะเดียวกันมีแผนแตกไลน์พัฒนาโครงการแนวราบเน้นทำเลโซนตะวันออกของกรุงเทพฯ เช่น ทำเลสุวรรณภูมิ บางนา เนื่องจากเป็นทำเลที่มีอัตราการเจริญเติบโตเพิ่มขึ้น

ด้านรูปแบบกำลังพิจารณาความเหมาะสมกับที่ดินที่ได้มา ไม่ว่าจะเป็นบ้านเดี่ยว ระดับราคา 6-7 ล้านบาท และทาวน์เฮาส์ ระดับราคา 3 ล้านบาทขึ้นไป รวมไปถึงบ้านแฝดภายใต้แบรนด์ใหม่ โดยขนาดโครงการจะอยู่ที่ราว 5 ไร่

นอกจากนี้ ยังมองตลาดคอนโด ไฮไรส์ด้วยมูลค่าโครงการราว 1,500 ล้านบาท ทำเลแนวรถไฟฟ้าเช่นกัน คาดว่าจะเห็นเซ็กเมนต์ใหม่ในปีหน้า โดยบริษัทไม่ได้ปิดกั้นหากมีการร่วมทุนกับพาร์ตเนอร์รายอื่นๆ ในการพัฒนาเป็นรายโปรเจกต์ พร้อมวางงบซื้อที่ดิน ปีหน้า 1,000 ล้านบาท

พร้อมกันนี้ บริษัทได้นำโมเดล ดังกล่าวมาพัฒนาโครงการทำให้สามารถปิดการขายได้เร็ว โดยไม่เก็บสินค้า เพื่อทำกำไรและไม่เน้นลูกค้าต่างชาติ เพราะจำนวนยูนิตน้อยและยอดปฏิเสธสินเชื่อจะอยู่ที่ 10-15% ซึ่งนำกลับ มาขายในราคาใหม่เมื่อโครงการแล้วเสร็จได้ ขณะที่ปีนี้คาดมียอดขายราว 1,000 ล้านบาท

 

ที่มา : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

14 กันยายน 2561