สยามพิวรรธน์ จับมือไซม่อนกรุ๊ป บิ๊กค้าปลีกอสังหามะกันผุดคอมเพล็กซ์ ขนเงินหมื่นล้านลุย เอาต์เลต3แห่ง

สยามพิวรรธน์ จับมือไซม่อนกรุ๊ป บิ๊กค้าปลีกอสังหามะกันผุดคอมเพล็กซ์ ขนเงินหมื่นล้านลุย เอาต์เลต3แห่ง

'สยามพิวรรธน์'จับมือ'ไซม่อนกรุ๊ป'ยักษ์อสังหาฯค้าปลีกจาก อเมริกาผุดเอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ เอาต์เลต หมู่บ้าน ย่านบางนา ระบุพร้อมเปิดชื่อผู้ร่วมทุนปลาย พ.ย.นี้ ก่อนเปิดบริการเฟสแรกปลายปี'62 ระบุกลุ่มไซม่อนพร้อมลงทุนไทยนับหมื่นล้านพัฒนาเอาต์เลตเมืองท่องเที่ยว

นายชลชาติ เมฆสุภะ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานพัฒนาธุรกิจและการลงทุน บริษัท สยามพิวรรธน์ จำกัด กล่าวถึงความคืบหน้าบริษัทร่วมทุนกับ ไซม่อนกรุ๊ป บริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อการค้าปลีก จากสหรัฐ ว่า ปลายเดือนพฤศจิกายน จะเปิดเผยชื่อและรายละเอียดของโครงการความร่วมมือ บนแนวคิดคอมเพล็กซ์ พื้นที่ประมาณ 150 ไร่ ตั้งอยู่บริเวณติดไฮเวย์ ห่างจากสนามบินสุวรรณภูมิไม่มาก ประกอบด้วย เอาต์เลต เอ็นเตอร์เทนเมนต์ และหมู่บ้านที่พักอาศัย โดยในส่วนของเอาต์เลต แบ่งเป็น 3 เฟส เฟสแรกพื้นที่ขายประมาณ 3 หมื่นตารางเมตร เริ่มก่อสร้างเดือนตุลาคมนี้ และใช้เวลาก่อสร้างและตกแต่งประมาณ 9 เดือน ก่อนเปิดให้บริการในไตรมาส 4 ปี 2562 จากนั้นจะเริ่มก่อสร้างด้านเอ็นเตอร์เทนต์เมนต์ และพัฒนาหมู่บ้าน เพื่อเปิดบริการในปี 2563-64 พร้อมกับพัฒนาเอาต์เลตเฟส 2-3 ภายใน 2-3 ปี ซึ่งในส่วนเอาต์เลตจะใช้งบประมาณ 4,000 ล้านบาท ส่วนรูปแบบนั้นอยู่ระหว่างการดำเนินการเช่นกัน เน้นดีไซน์ที่แปลกใหม่ ทั้งนี้ ในความร่วมมือกับไซม่อนกรุ๊ป จะร่วมพัฒนา เอาต์เลต 3 แห่งใน 5 ปี คือ ที่กรุงเทพฯ ภาคเหนือ และภาคใต้ เน้นพื้นที่แหล่งท่องเที่ยวและใกล้สนามบิน รวมลงทุนประมาณ 10,000 ล้านบาท

"ในการสร้างโครงการที่เป็นจุดหมายปลายทางด้านช้อปปิ้ง กินดื่ม บันเทิง และมิกซ์ยูส สร้างลักชัวรี่พรีเมียมเอาต์เลตในประเทศไทย รองรับตลาดนักท่องเที่ยวและคนไทยที่นิยมการเดินทางซื้อสินค้าลักชัวรี่แบรนด์ระดับโลก ซึ่งหลังจากบริษัทได้ประกาศความร่วมมือกับไซม่อน พบว่าได้รับความสนใจจากเจ้าของแฟชั่นแบรนด์ดัง และบางแบรนด์จะมาเปิดเอาต์เลตเอ็กซ์คลูซีฟเฉพาะในประเทศไทยเท่านั้น จึงมั่นใจว่าจะมีกำลังซื้อสูงกว่ามาเลเซีย ซึ่งเป็นหนึ่งประเทศที่ร่วมกับไซม่อน ประมาณ 20% หรือผู้เข้าใช้บริการ 1.3-1.5 หมื่นคนต่อวัน สัดส่วนเป็นคนไทย 60% และต่างชาติ 40% เช่นเดียวกับการพัฒนาโครงการบ้านจัดสรร ซึ่งขณะนี้ผู้ประกอบการสนใจเข้าร่วมโครงการแล้ว 2-3 ราย บนพื้นที่กว่า 50 ไร่ เริ่มราคาต่อยูนิต 7-8 ล้านบาท" นายชลชาติกล่าว

นายชลชาติกล่าวต่อว่า สำหรับการขยายธุรกิจในต่างประเทศนั้น ขณะนี้ได้มีนักลงทุนหลายรายโดยเฉพาะผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในประเทศจีน พม่า เวียดนาม และมาเลเซีย ติดต่อให้บริษัทเข้าไปร่วมทุนและร่วมพัฒนาศูนย์การค้าและเอ็นเตอร์เทนเมนต์ ซึ่งปัจจัยที่จะทำให้เกิดการร่วมทุนคือผู้ร่วมทุนและทำเลที่ตั้งว่ามีศักยภาพเหมาะสมที่สุด ไม่มีปัจจัยเรื่องการเมืองและภาวะเศรษฐกิจผันผวน โดยที่มีโอกาสมากสุดคือเวียดนาม และน่าจะมีความชัดเจนภายใน 3 ปีจากนี้ นอกจากนี้ บริษัทกำลังอยู่ระหว่างเจรจาซื้อธุรกิจหรือโครงการในไทยและต่างประเทศที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจค้าปลีก เพื่อแตกไลน์สู่ธุรกิจใหม่ๆ โดยที่ซื้อมาแล้ว อาทิ ธุรกิจแฟชั่น เครื่องสำอาง อาหารและเครื่องดื่ม (F&B) และ หอประชุม (AUDIROTIUM) เป็นต้น

 

ที่มา : หนังสือพิมพ์มติชน

14 กันยายน 2561