สิงห์ฯซื้อเป้า4.20บาท ลุ้นปีนี้กำไรหรูโต160%

สิงห์ฯซื้อเป้า4.20บาท ลุ้นปีนี้กำไรหรูโต160%

“สิงห์ เอสเตท” ราคาพุ่งปรี๊ด 4.14% โบรกฯเชียร์ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 4.20 บาท/หุ้น ลุ้นผลงานปีนี้เริ่ดจ่อฟันกำไร 1,600 ล้านบาท โตสนั่น 160% เก็งครึ่งปีหลังโอนคอนโดฯ 2 โครงการใหญ่ พร้อมดันบริษัทลูก SHR เข้าตลาดหุ้นปลายปีนี้

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วานนี้ (12 มิ.ย. 2562) มีแรงซื้อเก็งกำไรเข้ามาในหุ้นบริษัท สิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน) หรือ S หลังนักวิเคราะห์คาดการณ์ผลประกอบการในปี 2562 จะออกมาเติบโตโดดเด่น ส่งผลทำให้การซื้อขายระหว่างวันราคาหุ้นปรับขึ้นไปสูงสุดที่ 3.62 บาท ก่อนจะลงมาปิดตลาดที่ราคา 3.52 บาท บวกเพิ่มขึ้น 0.14 บาท หรือคิดเป็นเพิ่มขึ้น 4.14% ด้วยมูลค่าการซื้อขายหนาแน่น 446.48 ล้านบาท

บริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ประเมินว่า ขณะนี้แนะนำ “ซื้อ” หุ้น S ราคาเป้าหมาย 4.20 บาทต่อหุ้น โดยธุรกิจอสังหาริมทรัพย์อิงอัตราส่วนราคาหุ้นต่อกำไรสุทธิ (PER) 12 เท่า (Premium กลุ่มเพียง 10% เมื่อเทียบกับอัตราการเติบโตที่มากกว่าถึง 80%) และใช้ค่าเฉลี่ยกลุ่มโรงแรม 24 เท่า ซึ่งราคาหุ้นตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบันค่อนข้าง laggard ในกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ถึง 12%

ทั้งนี้ ภายหลังลงทุนและปรับโครงสร้างธุรกิจมานานกว่า 2-3 ปี มองว่าปัจจุบันบริษัทกำลังเข้าสู่การเติบโต และเป็นช่วงเวลาที่ดีสำหรับการเริ่มทยอยสะสม S โดยคาดกำไรปี 2562 ที่ 1,600 ล้านบาท จะเติบโตสูงกว่า 160% จากการส่งมอบคอนโดมิเนียม 2 โครงการใหญ่ ที่ S ถือสัดส่วน 100% ที่เริ่มบันทึกรายได้ จะหนุนให้ผลประกอบการกลับมาโดดเด่น โดยเฉพาะในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2562 และเติบโตต่อเนื่อง 30% ในปี 2563 จากการรับรู้รายได้กิจการร่วมค้า (Joint Venture หรือ JV)

เนื่องจาก Business Model ของ S มีความหลากหลายในธุรกิจ และ S ตั้งเป้าการเป็น Global Holding Company โดยในส่วนของอสังหาริมทรัพย์ มีทั้งส่วนที่พัฒนาเพื่อขายที่เป็นเจ้าของ และ JV มีทั้งส่วนที่พัฒนาเพื่อให้เช่า และมีการจัดตั้งกอง REIT ขณะที่ธุรกิจโรงแรมมีการกระจายตัวทั้งในประเทศและต่างประเทศ ทั้งในส่วนที่เป็นเจ้าของทั้งหมดและบางส่วน ทำให้เลือกวิธีประเมินมูลค่าที่เหมาะสมด้วย Sum of the part (SOTP) โดยได้มูลค่าของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่ 2.60 บาทต่อหุ้น และมูลค่าธุรกิจโรงแรมที่ 1.60 บาทต่อหุ้น และมีราคาเป้าหมาย 12 เดือน ที่ 4.20 บาทต่อหุ้น

นอกจากนี้ S ยังเตรียมนำบริษัทลูก คือ SHR (S Hotel and Resort) เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ในช่วงปลายปี 2562 ซึ่งบริษัทลูกประกอบธุรกิจโรงแรมในเครือของ S เช่น สันติบุรี และ Outrigger คาดว่าสิ้นปี 2562 จะมีโรงแรมในมือ 39 แห่ง รวม 4,647 ห้อง ใน 5 ประเทศ

โดยนำ SHR เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ จะเป็นการดำเนินการขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้แก่ประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) ไม่เกิน 1,437 ล้านหุ้น จึงคาดว่า S จะได้เงินทุนหมุนเวียนเข้ามาประมาณ 5,000-6,000 ล้านบาท ซึ่ง S จะนำไปเป็นเงินทุนสำหรับโครงการในอนาคต และนำไปปลดหนี้ ก็จะทำให้อัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E) ลดลงเหลือ 1.6 เท่า ขณะเดียวกันคาด S จะคงสัดส่วนการถือใน SHR หลังไอพีโอที่ไม่เกิน 60%

 

ที่มา : หนังสือพิมพ์ข่าวหุ้น

13 มิถุนายน 2562