แห่ซื้ออสังหาฯลอนดอน อานิสงส์ค่าเงินปอนด์อ่อน

แห่ซื้ออสังหาฯลอนดอน อานิสงส์ค่าเงินปอนด์อ่อน

         โจนส์ แลงเผยเศรษฐีไทยเบนเข็มลงทุนอสังหาฯอังกฤษ รับเงินปอนด์อ่อน "เบอร์เคลีย์ กรุ๊ป"สบช่องลดค่าอากรแสตมป์ 2% ของราคาขาย ดันยอดโครงการ White City Living เฟส 3 ลอนดอน

          นางสาวจุฑามาศ ลีวานันท์ ผู้จัดการฝ่ายขายและการตลาด สำหรับที่อยู่อาศัยต่างประเทศ บริษัท โจนส์ แลง ลาซาลล์ (ประเทศไทย) กล่าวถึงการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ในอังกฤษว่า ปัจจุบันนักลงทุนไทยสนใจลงทุนอสังหาฯในลอนดอน ประเทศอังกฤษ เพิ่มขึ้น เนื่องจากซัพพลายที่อาศัยในลอนดอนไม่ เพียงพอ โดยมีซัพพลายอยู่ที่ปีละ 1.2-1.5 หมื่นยูนิต เมื่อเทียบกับดีมานด์ ปีละ 3-4 หมื่นยูนิต

          ส่งผลให้ผลการตอบแทนค่าเช่าในลอนดอนสูงถึง 3-4% และราคาขายเติบโต 6-10% ต่อปี ซึ่งดีกว่าสินทรัพย์ประเภทอื่นในระยะกลางถึงระยะยาว ประกอบกับ ค่าเงินปอนด์ยังคงอ่อนค่า 39-40 บาทต่อปอนด์ ขณะที่ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้น ส่งผลให้นักลงทุน และมหาเศรษฐกิจไทยระดับ พันล้านบาท สนใจซื้ออยู่อาศัยในลอนดอนให้กับลูกหลานในช่วงนี้ ก่อนที่ค่าเงินปอนด์แข็งค่าขึ้นเมื่อสถานการณ์โควิดคลี่คลาย

          นางสาวจุฑามาศยังกล่าวว่าตลาดอสังหาฯอังกฤษยังคงน่าสนใจลงทุนต่อเนื่อง ตั้งแต่ปี 2561 ที่ค่าเงินปอนด์ ลดเหลือปอนด์ละ 52 บาท จากที่เคยสูงถึงปอนด์ละ 70 บาท ล่าสุดเหลือ 39-40บาทต่อปอนด์

          นายนิค พานคาเนีย หัวหน้า ฝ่ายปฏิบัติการประเทศไทย บริษัท เบอร์เคลีย์ กรุ๊ป กล่าวว่า บริษัทมองเห็นโอกาสที่นักลงทุนไทยจะลงทุน ซื้ออสังหาฯในลอนดอน จึงได้นำเสนอ โครงการ White City Living เฟส 3 ในฝั่งตะวันตก ที่เหมาะกับการอยู่อาศัย เนื่องจากมีห้างสรรพสินค้า สำนักงาน และร้านอาหารจำนวนมาก และเชื่อมต่อ สถานีรถไฟฟ้า 2 สถานี เดินทางสะดวกด้วยรถไฟฟ้า 3 สายหลัก และยังสามารถเดินทางไปยัง ท่าอากาศยานนานาชาติฮีทโธรว์ โดยใช้เวลา 30 นาที

          สำหรับโครงการ White City Living เฟส 3 เป็นอาคารพักอาศัยจำนวน 2 อาคาร ได้แก่ The Waterside และ Cassini ซึ่งเป็นอาคารรูปทรงกลมมน มีตั้งแต่ 1-3 ห้องนอน ตกแต่งพร้อมอยู่ในสไตล์ โมเดิร์น ราคาเริ่มต้นยูนิตละ 30 ล้านบาท หรือ 775,000 ปอนด์

          โดยในเฟส 3 มีจำนวน 530 ยูนิต เหลือขาย 60% ที่นำมาเสนอให้กับกลุ่มนักลงทุน ในประเทศไทย ด้วยการจ่ายธรรมเนียมการโอน 2% ของราคา คาดว่า จะมีผู้ที่สนใจซื้อในช่วงจัด

 

ที่มา : หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ

วันที่ : 30 กรกฎาคม 2563