ORI ผุดโปรเจ็กต์ใหม่ 1.67 หมื่นล.ปูพรมครึ่งหลังโตไม่หยุด

ORI ผุดโปรเจ็กต์ใหม่ 1.67 หมื่นล.ปูพรมครึ่งหลังโตไม่หยุด

           ORI การันตีผลงานครึ่งปีหลังโตเด่น หลังเดินหน้ากลยุทธ์ Origin Next Normal พร้อมลุยเปิดตัวบ้านจัดสรร 2 แบรนด์ใหม่ "เบลกราเวีย-ไบรตัน" หวังเจาะตลาด Gen Y-Z แถมผุดโครงการใหม่อีกกว่า 14 โครงการ รวมกว่า 1.67 หมื่นล้านบาท บิ๊กบอสชี้บริหารจัดการเด่น หนุนไตรมาส 2/63 กำไรพุ่ง 707 ล้านบาท ก้าวสู่ TOP3 ธุรกิจอสังหาฯเมืองไทย

          ผู้สื่อข่าว "มิติหุ้น" รายงานว่า บมจ.ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ ผู้พัฒนาธุรกิจอสังหาริมทรัพย์แบบครบวงจร โดย "นายพีระพงศ์ จรูญเอก" ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เปิดเผยว่า แนวโน้มผลงานช่วงครึ่งหลังของปี 63 มั่นใจจะเติบโตโดดเด่นต่อเนื่อง เพราะบริษัทจะเดินหน้ากลยุทธ์ Origin Next Normal ต่อเนื่องในกลุ่มธุรกิจสมาร์ทคอนโด การนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่เข้ามาใช้ในโครงการที่อยู่อาศัย ตอบโจทย์ทั้งด้าน Reaching Solution และ Living Solution

          พร้อมเปิดตัวบ้านจัดสรร 2 แบรนด์ใหม่ ได้แก่ เบลกราเวีย เจาะตลาดระดับลักชัวรี่ และไบรตัน เจาะตลาด Gen Y-Z ขยาย เซ็กเมนท์ใหม่ๆ ขณะเดียวกันมีโครงการรอเปิดตัวในช่วงครึ่งปีหลังอีกกว่า 14 โครงการ มูลค่าโครงการรวมกว่า 16,700 ล้านบาท

          นอกจากนี้ บริษัทยังมีโครงการสร้างเสร็จใหม่ ทั้งโครงการบ้านจัดสรร และโครงการ Non-JV พร้อมทยอยโอนกรรมสิทธิ์ในครึ่งหลังของปี เพิ่มอีก 10 โครงการ และยังมีโครงการ JV ที่จะสร้างเสร็จใหม่ พร้อมทยอยโอนอีก 2 โครงการ ได้แก่ โครงการไนท์บริดจ์ ไพร์ม อ่อนนุช เริ่มทยอยโอนในไตรมาส 3/2563 และโครงการไนท์บริดจ์ สเปซ รัชโยธิน เริ่มทยอยโอนในไตรมาส 4/2563 มูลค่ารวมทั้งสิ้นกว่า 17,100 ล้านบาท โดยกลุ่มโครงการ JV มียอดรอรับรู้รายได้ (แบ็คล็อก) รออยู่แล้วถึงกว่า 90%

          ดังนั้นส่งผลให้ภาพรวมทั้งปี 2563 บริษัทมั่นใจการเติบโตจะเป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ที่ยอดโอน 14,000 ล้านบาท และรายได้รวม 16,000 ล้านบาท

          ล่าสุด ORI แจ้งผลงานไตรมาส 2/2563 มีรายได้รวม 3,292 ล้านบาท (Non-JV) ตามการเติบโตของยอดโอนที่ทำได้ 3,088 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 707 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อน 58% และจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 19% หลังกวาดยอดโอนรวมไปกว่า 3,832 ล้านบาท โดยเป็นโครงการ Non-JV 3,088 ล้านบาท และโอนต่อเนื่องโครงการ JV จากไตรมาสแรกอีกกว่า 743 ล้านบาท ส่งผลให้บริษัทก้าวสู่ 1 ใน 3 ผู้นำ หรือ "TOP3" ของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เมืองไทย

          พร้อมกันนี้ บริษัทยังสามารถรักษาอัตรากำไรไว้ได้ในระดับสูง โดยอัตรากำไรสุทธิ อยู่ที่ระดับ 21.5% หลังบริหารจัดการและควบคุมค่าใช้จ่ายได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ทั้งการปรับกลยุทธ์ เน้นการตลาดเชิงรุกผ่านแพลทฟอร์มออนไลน์ และแคมเปญ Everyone Can Sell โดย SG&A ปรับลดลงเหลือประมาณ 12.7% จาก 19.7% ในไตรมาสก่อนหน้า ท่ามกลางตลาดที่ได้มีการปรับกลยุทธ์หันมาแข่งขันด้านราคากันอย่างรุนแรง

 

ที่มา : หนังสือพิมพ์มิติหุ้น

วันที่ : 14 สิงหาคม 2563